Samuel Little “ฆาตรกรต่อเนื่องผู้โหดเหี้ยมที่สุด” ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

Samuel Little ถือเป็นหนึ่งในนักฆ่าต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา จากการสารภาพของเขาในปี 2018 ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมผู้หญิงอย่างน้อย 93 รายในช่วงปี 1970 ถึงปี 2005 คดีของ Little กลายเป็นที่สนใจของสังคมและเจ้าหน้าที่สืบสวน เนื่องจากจำนวนเหยื่อที่มาก และความยาวนานในการก่อเหตุที่กินเวลาหลายทศวรรษ โดยที่เขาสามารถหลบหนีการถูกจับกุมมาได้เป็นเวลานาน

ชีวิตในวัยเด็กของ Samuel Little

Samuel Little เกิดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ในเมือง Reynolds รัฐจอร์เจีย เขาเติบโตในครอบครัวที่มีปัญหาและได้รับการดูแลอย่างขาดความใส่ใจ แม่ของเขาเป็นโสเภณีและเขาถูกเลี้ยงดูโดยย่า หลังจากนั้นไม่นานเขาเริ่มมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การลักขโมยและการทำร้ายร่างกาย จนในที่สุดเขาก็ถูกจับครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปี จากนั้นก็เริ่มมีประวัติอาชญากรรมที่ยาวนาน หลังจากนั้น Samuel Little ได้ใช้ชีวิตในแบบคนเร่ร่อน เขามักจะเดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกา โดยไม่มีที่อยู่ถาวร โดยอาศัยจากการขโมยของและทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในระหว่างนั้น เขายังมีประวัติการจับกุมในข้อหาทำร้ายร่างกายและการข่มขืนในหลายรัฐ

วิธีการฆาตกรรมที่โหดเหี้ยม

สิ่งที่ทำให้ Samuel Little น่ากลัวไม่ใช่แค่จำนวนเหยื่อ แต่เป็นลักษณะของการฆาตกรรมที่เขากระทำ Little มักเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิงที่มีชีวิตลำบาก เช่น โสเภณี หรือผู้หญิงที่ติดยา ซึ่งทำให้พวกเธอไม่ได้รับความสนใจมากนักเมื่อหายตัวไป เขามักจะล่อลวงพวกเธอไปยังสถานที่ห่างไกล จากนั้นจึงบีบคอเหยื่อจนเสียชีวิต โดยวิธีการฆ่าของ Little มักจะไม่ทิ้งร่องรอยที่ชัดเจน ทำให้การสืบสวนพบว่าเหยื่อหลายรายถูกตัดสินว่าเสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดหรือเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งทำให้เขาหลบหนีจากการจับกุมได้เป็นเวลานาน ในระหว่างการสอบสวนหลังจากที่เขาถูกจับกุม Little ให้การยอมรับว่าเขาชื่นชอบการบีบคอเหยื่อมากกว่าการใช้มีดหรือปืน และบ่อยครั้งเขาจะมองเข้าไปในดวงตาของเหยื่อในขณะที่เหยื่อเสียชีวิต ซึ่งทำให้พฤติกรรมของเขาดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

การจับกุมและการสารภาพ

Samuel Little ถูกจับกุมครั้งสุดท้ายในปี 2012 ที่รัฐเคนทักกีจากข้อหายาเสพติด แต่ในระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บตัวอย่าง DNA ของเขาและเชื่อมโยงไปถึงคดีฆาตกรรมที่ยังไม่คลี่คลายสามคดีในลอสแอนเจลิส คดีเหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างปี 1987 ถึง 1989 ในปี 2014 Samuel Little ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรม 3 ราย เขาถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีโอกาสได้รับการประกันตัว แต่การสืบสวนไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ในปี 2018 ขณะที่เขายังอยู่ในเรือนจำ Samuel Little เริ่มให้การสารภาพกับเจ้าหน้าที่ว่าเขาได้ฆ่าผู้หญิงถึง 93 คนในช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากการสืบสวนของ FBI และในที่สุด Little ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตเหยื่อมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

การยืนยันเหยื่อและวิธีการทำงานของ FBI

หลังจากการสารภาพ เจ้าหน้าที่ FBI ได้เริ่มทำงานร่วมกับท้องถิ่นทั่วประเทศเพื่อยืนยันเหยื่อของ Little โดยอาศัยภาพสเก็ตช์ที่เขาวาดขึ้นจากความทรงจำของเขาเกี่ยวกับเหยื่อ ซึ่งสร้างความประหลาดใจอย่างมากเนื่องจาก Little สามารถจำรายละเอียดเกี่ยวกับเหยื่อแต่ละคนได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายสิบปี FBI ใช้ข้อมูลเหล่านี้ร่วมกับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และรายงานของตำรวจท้องถิ่นเพื่อยืนยันคดีฆาตกรรม ซึ่งจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่สามารถยืนยันตัวเหยื่อได้มากกว่า 60 รายแล้ว และยังคงมีการสืบสวนเพิ่มเติมในหลายพื้นที่

ผลกระทบต่อสังคมและการวิพากษ์วิจารณ์

การก่อเหตุของ Samuel Little แสดงให้เห็นถึงปัญหาของระบบยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกรณีของเหยื่อที่เป็นผู้หญิงที่มีปัญหาทางสังคม เช่น การเป็นโสเภณีและการเสพยา เหยื่อเหล่านี้มักไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อหายตัวไป ซึ่งเป็นช่องว่างที่ทำให้นักฆ่าต่อเนื่องอย่าง Little สามารถหลบหนีได้เป็นเวลานาน นอกจากนี้ การจับกุมของ Little ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการใช้ DNA ในการเชื่อมโยงคดีเก่า ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการคลี่คลายคดีที่ค้างคา

Samuel Little ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 30 ธันวาคม 2020 และได้กลายเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงและโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา แม้ว่าจำนวนเหยื่อที่เขาก่อเหตุจะสูงถึง 93 ราย แต่การทำงานของเจ้าหน้าที่ FBI ในการยืนยันตัวเหยื่อและคลี่คลายคดีที่ยังไม่เสร็จสิ้นยังคงดำเนินต่อไป คดีของ Little ได้สร้างความตื่นตัวให้กับสังคมเกี่ยวกับการดูแลเหยื่อที่มีปัญหาทางสังคมและความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีทางนิติวิทยาศาสตร์ในการสืบสวน

Wikipedia

Share