ชายที่ตัดสินใจขโมยของใน “เกาหลีเหนือ” จนต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด

เรื่องราวของ Otto Warmbier นักศึกษาอเมริกันที่ถูกจับกุมในเกาหลีเหนือกลายเป็นข่าวที่สะเทือนใจและเป็นประเด็นถกเถียงระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือในช่วงปี 2016–2017 Warmbier ถูกจับกุมในข้อหาขโมยป้ายโฆษณาในโรงแรมขณะเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่รุนแรงตามมา จนในที่สุดเขาก็เสียชีวิตหลังจากได้รับการปล่อยตัวในสภาพที่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดในเดือนมิถุนายน 2017

ชีวิตและการศึกษา

Otto Frederick Warmbier เกิดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1994 ในเมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา Warmbier เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย (University of Virginia) ที่มีความสนใจในด้านเศรษฐศาสตร์ เขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความฝันและอนาคตที่สดใส Warmbier เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง มีความกระตือรือร้น และมีความสนใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโลก ในเดือนธันวาคม 2015 Otto Warmbier ตัดสินใจเข้าร่วมทัวร์ท่องเที่ยวประเทศเกาหลีเหนือผ่านบริษัท Young Pioneer Tours ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยทัวร์นี้จะพานักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมเกาหลีเหนือในช่วงเทศกาลวันปีใหม่

การจับกุมในเกาหลีเหนือ

ในวันที่ 2 มกราคม 2016 ขณะที่ Warmbier กำลังจะออกจากเกาหลีเหนือที่สนามบินนานาชาติเปียงยาง เขาถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเกาหลีเหนือจับกุมทันที เหตุผลที่ทำให้เขาถูกจับกุมคือข้อหาที่เขาขโมยป้ายโฆษณาชวนเชื่อของรัฐจากโรงแรม Yanggakdo International Hotel ซึ่งเป็นที่พักของเขาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ทางการเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์ว่า Warmbier ได้ขโมยป้ายที่มีข้อความโฆษณาชวนเชื่อของรัฐที่แขวนไว้ในบริเวณห้องพนักงานในโรงแรม โดยเกาหลีเหนือระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายของประเทศ และถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของเกาหลีเหนืออย่างรุนแรง ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2016 Warmbier ถูกบังคับให้ออกมาสารภาพต่อหน้าสื่อว่าเขาได้ขโมยป้ายดังกล่าวโดยตั้งใจ การสารภาพของเขานั้นทำให้เกิดคำถามในหมู่ผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศเกี่ยวกับความถูกต้องของการสารภาพ เนื่องจากในหลายกรณีของเกาหลีเหนือ ผู้ที่ถูกจับกุมมักจะถูกบังคับให้สารภาพต่อหน้าสื่อโดยใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรม

การพิจารณาคดีและการลงโทษ

หลังจากการสารภาพ Warmbier ถูกพิจารณาคดีในวันที่ 16 มีนาคม 2016 และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 15 ปี ที่ต้องใช้แรงงานหนัก โดยทางการเกาหลีเหนือระบุว่าเขากระทำความผิดในการพยายามล้มล้างรัฐบาลเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นความผิดที่ถือว่าร้ายแรงในประเทศนี้ การพิจารณาคดีของ Warmbier ถูกมองว่าไม่เป็นธรรมและไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายตามมาตรฐานสากล

การเจรจาและการปล่อยตัว

ตลอดระยะเวลาที่ Warmbier ถูกคุมขัง ทางครอบครัวและรัฐบาลสหรัฐฯ ได้พยายามที่จะเจรจาเพื่อปล่อยตัวเขา มีการส่งนักการทูตหลายฝ่ายและองค์กรช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อช่วยเจรจากับเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนืออยู่ในสถานะที่ตึงเครียด ในเดือนมิถุนายน 2017 เกือบ 18 เดือนหลังจากที่ Warmbier ถูกคุมขัง ทางเกาหลีเหนือได้แจ้งให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทราบว่าเขาอยู่ในสภาพ “อาการโคม่า” และยอมปล่อยตัวเขาด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม Warmbier ถูกส่งตัวกลับสหรัฐฯ ในวันที่ 13 มิถุนายน 2017 และถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ เมื่อเขามาถึงสหรัฐฯ พบว่า Warmbier อยู่ในสภาพที่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งใด และมีสภาพสมองถูกทำลายอย่างรุนแรง แพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุแน่ชัดของสภาพที่เขาเป็นได้

การเสียชีวิตและปฏิกิริยาจากนานาชาติ

เพียงหกวันหลังจากที่ Otto Warmbier กลับสู่สหรัฐฯ เขาเสียชีวิตลงในวันที่ 19 มิถุนายน 2017 ขณะที่มีอายุเพียง 22 ปี ครอบครัวของ Warmbier เชื่อว่าเขาถูกทรมานอย่างรุนแรงขณะถูกคุมขังในเกาหลีเหนือ แม้ว่าเกาหลีเหนือจะปฏิเสธข้อกล่าวหาและอ้างว่า Warmbier เข้าสู่ภาวะโคม่าจากการใช้ยานอนหลับผิดวิธีและป่วยเป็นโรค botulism (โรคโบทูลิซึม) แต่หลักฐานทางการแพทย์ที่พบไม่สนับสนุนข้ออ้างนี้ การเสียชีวิตของ Warmbier ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น Donald Trump และหลายฝ่ายในรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กล่าวโทษเกาหลีเหนือว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของเขา กรณีของ Warmbier กลายเป็นประเด็นสำคัญในเวทีการเมืองระหว่างประเทศและถูกนำไปใช้เป็นข้ออ้างในการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ

การฟ้องร้องเกาหลีเหนือ

หลังจากการเสียชีวิตของ Otto Warmbier ครอบครัวของเขาได้ยื่นฟ้องร้องเกาหลีเหนือในเดือนเมษายน 2018 โดยกล่าวหาเกาหลีเหนือว่าเป็นผู้ที่รับผิดชอบต่อการทรมานและเสียชีวิตของบุตรชายของพวกเขา ในปี 2018 ศาลสหรัฐฯ ได้ตัดสินให้ครอบครัว Warmbier ได้รับค่าชดเชยจากเกาหลีเหนือเป็นเงินจำนวน 501 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าโอกาสที่จะได้รับค่าชดเชยจริงนั้นน้อยมาก แต่คำตัดสินนี้ถือเป็นการยืนยันความรับผิดชอบของเกาหลีเหนือ

บทสรุปและมรดกที่เหลืออยู่

เรื่องราวของ Otto Warmbier ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความโหดร้ายของระบอบการปกครองในเกาหลีเหนือ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการเดินทางไปยังประเทศที่มีการปกครองแบบปิด เช่น เกาหลีเหนือ Warmbier กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอยุติธรรมและความโหดร้ายที่สามารถเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวที่อาจไม่ทราบถึงความรุนแรงของกฎหมายในประเทศที่พวกเขาไปเยือน หลังการเสียชีวิตของเขา บริษัททัวร์ Young Pioneer Tours ที่พา Warmbier ไปเกาหลีเหนือได้หยุดการให้บริการทัวร์แก่นักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน และรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศห้ามพลเมืองอเมริกันเดินทางไปยังเกาหลีเหนือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล เรื่องราวของ Otto Warmbier ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในแง่ของการปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวในประเทศที่มีระบอบการปกครองเผด็จการ และเป็นบทเรียนที่สำคัญในการระวังถึงความเสี่ยงในการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองและกฎหมาย

Wikipedia

Share