สงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) เป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก สงครามนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประเทศที่เข้าร่วมสงคราม แต่ยังเปลี่ยนแปลงสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมทั่วโลกอย่างถาวร การทำความเข้าใจสาเหตุและจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจแนวโน้มและบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อโลกในยุคปัจจุบัน
สงครามโลกครั้งที่ 1 และสนธิสัญญาแวร์ซาย
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ สงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) และผลที่ตามมาจากสงครามนั้น โดยเฉพาะ สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) ที่ถูกลงนามในปี 1919 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ประเทศผู้ชนะสงคราม (ส่วนใหญ่คืออังกฤษและฝรั่งเศส) บังคับให้เยอรมนียอมรับความผิดในการก่อสงครามและจ่ายค่าชดเชยมหาศาล สนธิสัญญาแวร์ซายได้กำหนดข้อจำกัดทางการทหารและเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดต่อเยอรมนี ซึ่งทำให้เยอรมนีต้องสูญเสียดินแดนและอำนาจทางการทหาร นอกจากนี้ การบังคับให้เยอรมนีจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลยังส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และเกิดความไม่พอใจต่อการปกครองที่อ่อนแอของรัฐบาลเยอรมนีในยุคนั้น (รู้จักกันในนาม สาธารณรัฐไวมาร์)
การขึ้นมาของระบอบฟาสซิสต์และนาซี
สภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มั่นคงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของระบอบการปกครองที่เผด็จการในยุโรป โดยเฉพาะระบอบ ฟาสซิสต์ ในอิตาลีและระบอบ นาซี ในเยอรมนี
- อิตาลี: ในปี 1922 ผู้นำฟาสซิสต์ เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ขึ้นสู่อำนาจในอิตาลี โดยเขามีแนวคิดเน้นชาตินิยม ความเข้มแข็งทางการทหาร และการขยายดินแดน ความสำเร็จของระบอบฟาสซิสต์ในอิตาลีส่งผลให้แนวคิดนี้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น
- เยอรมนี: ในปี 1933 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำพรรคนาซี (National Socialist German Workers’ Party) ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ฮิตเลอร์ใช้ความไม่พอใจของประชาชนต่อสนธิสัญญาแวร์ซายและปัญหาเศรษฐกิจเพื่อสร้างการสนับสนุนทางการเมือง หลังจากที่เขาขึ้นสู่อำนาจ เขาได้เปลี่ยนเยอรมนีเป็นรัฐนาซีที่มีการปกครองแบบเผด็จการ โดยเน้นความยิ่งใหญ่ของเชื้อชาติอารยัน การต่อต้านยิว และการขยายดินแดนของเยอรมนีเพื่อสร้าง “Reich” ที่ยิ่งใหญ่
นโยบายการขยายดินแดนและการรุกราน
หนึ่งในเป้าหมายหลักของฮิตเลอร์คือการขยายดินแดนของเยอรมนี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Lebensraum หรือ “พื้นที่อยู่อาศัย” สำหรับชาวเยอรมัน ฮิตเลอร์เชื่อว่าเยอรมนีต้องการดินแดนเพิ่มเติมเพื่อรองรับประชากรและทรัพยากรเพื่อเสริมสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศ การขยายดินแดนเริ่มต้นด้วยการผนวกพื้นที่ต่าง ๆ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1936 เยอรมนีได้ส่งกองกำลังเข้ายึด ไรน์แลนด์ (Rhineland) ซึ่งเป็นเขตปลอดทหารตามข้อตกลงแวร์ซาย นอกจากนี้ ฮิตเลอร์ยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ มุสโสลินี ในอิตาลี และ จักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งมีเป้าหมายในการขยายอำนาจเช่นเดียวกัน ในปี 1938 เยอรมนีได้บุกยึดครอง ออสเตรีย ในปฏิบัติการที่เรียกว่า Anschluss โดยไม่มีการต่อต้านอย่างจริงจังจากนานาชาติ ถัดมาในปีเดียวกัน เยอรมนีได้เรียกร้องดินแดน ซูเดเทนแลนด์ (Sudetenland) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเชโกสโลวาเกีย โดยอ้างว่ามีชาวเยอรมันอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
นโยบายการประนีประนอม (Appeasement)
ในช่วงทศวรรษ 1930 หลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ได้ใช้แนวทาง การประนีประนอม (Appeasement) เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเยอรมนี แนวทางนี้เชื่อว่าหากยอมรับข้อเรียกร้องบางส่วนของฮิตเลอร์ อาจสามารถหลีกเลี่ยงสงครามใหญ่ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ข้อตกลงมิวนิก (Munich Agreement) ในปี 1938 ที่อนุญาตให้เยอรมนีผนวกซูเดเทนแลนด์ โดยเชื่อว่าจะช่วยรักษาสันติภาพในยุโรป แต่ท้ายที่สุด การประนีประนอมนี้กลับทำให้ฮิตเลอร์ได้รับความมั่นใจในการรุกรานต่อไป
จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2
ในปี 1939 เยอรมนีเริ่มแสดงท่าทีที่ก้าวร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะการรุกรานโปแลนด์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนของสงครามโลกครั้งที่ 2
- สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอป: ในเดือนสิงหาคม 1939 เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ลงนามในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอป (Molotov-Ribbentrop Pact) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน และได้มีการตกลงแบ่งโปแลนด์กันระหว่างสองประเทศ การลงนามในสนธิสัญญานี้ทำให้เยอรมนีมั่นใจว่าโซเวียตจะไม่ขัดขวางการรุกรานโปแลนด์
- การรุกรานโปแลนด์: เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 กองทัพเยอรมันได้บุกโปแลนด์ด้วยยุทธวิธี Blitzkrieg หรือการโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลให้โปแลนด์ต้องพ่ายแพ้ภายในไม่กี่สัปดาห์ หลังจากการรุกรานนี้ อังกฤษและฝรั่งเศสได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายน 1939 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ
สงครามในยุโรปและการขยายวง
หลังจากที่สงครามเริ่มต้นในยุโรป เยอรมนีได้เริ่มต้นการขยายวงกว้างของสงครามไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ในปี 1940 เยอรมนีบุกยึด เดนมาร์กและนอร์เวย์ ตามด้วย เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ฝรั่งเศสต้องพ่ายแพ้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ สงครามยังขยายตัวไปยังเอเชียเมื่อ จักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและอิตาลี ได้เริ่มต้นรุกรานจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแปซิฟิก ส่งผลให้สงครามกลายเป็นความขัดแย้งระดับโลกที่มีทั้งยุโรป เอเชีย และแอฟริกาเข้าร่วม
การสิ้นสุดของสงครามในยุโรป
สงครามในยุโรปสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ซึ่งเริ่มต้นจากการเสื่อมถอยทางการทหารและการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญในช่วงปลายสงคราม การสิ้นสุดในยุโรปมีรายละเอียดดังนี้:
- การบุกครองนอร์มังดี: เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปิดฉากการบุกครองที่รู้จักกันในชื่อ D-Day ในพื้นที่นอร์มังดีของฝรั่งเศส การบุกครั้งนี้เป็นการโจมตีทางบกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สัมพันธมิตรสามารถรุกเข้าสู่ยุโรปกลาง และเริ่มการปลดปล่อยฝรั่งเศสจากการยึดครองของเยอรมนีได้สำเร็จ
- การรุกรานจากตะวันออกของโซเวียต: ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตได้บุกโจมตีเยอรมนีจากทิศตะวันออก โดยเฉพาะการต่อสู้ที่ดุเดือดในแนวรบด้านตะวันออก เช่น การรบที่สตาลินกราด (1942-1943) และ การรบที่เคิร์สก์ (1943) ซึ่งเป็นการต่อสู้รถถังที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสำเร็จของโซเวียตทำให้กองทัพเยอรมันต้องถอยร่นกลับไปเรื่อย ๆ
- การยึดครองกรุงเบอร์ลิน: ในเดือนเมษายน 1945 กองทัพโซเวียตบุกยึดกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี ส่งผลให้กองทัพเยอรมันและรัฐบาลนาซีล่มสลาย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ฆ่าตัวตายในบังเกอร์ใต้ดินเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1945 ท่ามกลางการล่มสลายของเมืองหลวง
- การยอมจำนนของเยอรมนี: หลังจากการยึดครองกรุงเบอร์ลิน รัฐบาลชั่วคราวของเยอรมนีได้ประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 และทำพิธีลงนามอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 วันดังกล่าวถูกเรียกว่า “วันแห่งชัยชนะในยุโรป” (Victory in Europe Day หรือ VE Day)
การสิ้นสุดของสงครามในแปซิฟิก
สงครามในเอเชียและแปซิฟิกซึ่งนำโดยญี่ปุ่น ดำเนินต่อไปแม้สงครามในยุโรปจะสิ้นสุดแล้ว แต่ก็จบลงในไม่ช้าเนื่องจากปัจจัยหลายประการ:
- การต่อสู้ที่หมู่เกาะแปซิฟิก: ในสงครามแปซิฟิก สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้ทำการโจมตีและยึดเกาะต่างๆ ที่ญี่ปุ่นยึดครอง เช่น การรบที่หมู่เกาะมิดเวย์ (1942) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กองทัพเรือญี่ปุ่นประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ และเริ่มถอยร่นจากพื้นที่ที่ยึดครองในแปซิฟิกใต้ สหรัฐฯ ได้ใช้ยุทธวิธี “กระโดดข้ามเกาะ” (Island Hopping) ในการค่อยๆ ยึดเกาะกลับมา จนกระทั่งสามารถเข้าใกล้หมู่เกาะญี่ปุ่นได้มากขึ้น
- การทิ้งระเบิดปรมาณู: ในปี 1945 ญี่ปุ่นยังคงยืนหยัดสู้รบ แม้จะประสบความพ่ายแพ้มากมาย เพื่อเร่งให้สงครามจบสิ้น สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจใช้ ระเบิดปรมาณู ซึ่งเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่มีอานุภาพรุนแรง เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 สหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่เมือง ฮิโรชิมา และตามด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองที่เมือง นางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ทำให้เกิดการทำลายล้างอย่างรุนแรง และมีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน
- การยอมจำนนของญี่ปุ่น: หลังจากการทิ้งระเบิดปรมาณูทั้งสองลูกและการประกาศสงครามของสหภาพโซเวียตต่อญี่ปุ่น ญี่ปุ่นไม่สามารถสู้รบต่อไปได้อีก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1945 จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ แห่งญี่ปุ่นได้ออกประกาศผ่านทางวิทยุยอมรับความพ่ายแพ้ โดยญี่ปุ่นลงนามในเอกสารการยอมจำนนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 บนเรือ USS Missouri ที่จอดในอ่าวโตเกียว ซึ่งวันนั้นกลายเป็นที่รู้จักในนาม “วันแห่งชัยชนะเหนือญี่ปุ่น” (Victory over Japan Day หรือ V-J Day)
ผลลัพธ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง โลกได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในหลายด้าน ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนี้:
การลดอาณานิคม: หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศที่เป็นอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรป เช่น อังกฤษและฝรั่งเศส ได้เริ่มกระบวนการปลดปล่อยตัวเองและกลายเป็นประเทศเอกราช โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา
การแบ่งแยกมหาอำนาจ: สงครามโลกครั้งที่ 2 นำไปสู่การเกิด สงครามเย็น (Cold War) ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์และการเมืองระหว่าง สหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้นำกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตย กับ สหภาพโซเวียต ที่เป็นผู้นำของค่ายคอมมิวนิสต์ โลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจในช่วงหลายทศวรรษหลังสงคราม
การก่อตั้งสหประชาชาติ: หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันก่อตั้ง สหประชาชาติ (United Nations) ขึ้นในปี 1945 เพื่อป้องกันการเกิดสงครามโลกอีกครั้ง และส่งเสริมสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบและแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ
การฟื้นฟูยุโรปและญี่ปุ่น: หลังสงคราม ประเทศยุโรปและญี่ปุ่นที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักได้เข้าร่วมในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น แผนมาร์แชล (Marshall Plan) ซึ่งเป็นโครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ เพื่อฟื้นฟูยุโรปตะวันตก รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในโลก